วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2567

รายงานการเชื่อมท่อ HDPE DATA LOGGER

      รายงานการเชื่อมท่อ HDPE แบบคอมพิวเตอร์ควบคุม(DATA LOGGER) เป็นข้อกำหนดสำหรับงานเชื่อมท่อ HDPE ของการประปาส่วนภูมิภาค  เดิมการเชื่อมท่อ HDPE จะใช้แรงงานคนสังเกตจากตะเข็บแนวท่อและต้องอาศัยประสบการณ์ แต่ปัจจุบันการเชื่อมท่อ HDPE จะใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมขั้นตอนการเชื่อม(LDU) ออกรายงานผลการเชื่อมที่แม่นยำ น่าเชื่อถือ ทำให้ข้อมูลการเขื่อมที่ได้แน่นอน เกิดความผิดพลาดน้อยจากภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างของรายงานผลการเชื่อม ซึ่งจะแสดงรายละเอียดไว้ครบถ้วน
IMG_00061

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2567

ตัวอย่างการถอดแบบในงานวางท่อประปา

    ในงานวางท่อประปานั้น การใช้อุปกรณ์ประปาให้เหมาะสมกับบริเวณต่างๆมีความจำเป็นมาก เนื่องจากมีผลต่อต้นทุนค่าก่อสร้าง และระยะเวลา เนื่องจากต้องใช้เวลาผลิต ดังนั้นผมขอยกตัวอย่างการถอดแบบอุปกรณ์ดังนี้
clip_image002
แบบแปลนแสดงการติดตั้งอุปกรณ์ในเส้นท่อวางใหม่ตามสัญญา

clip_image004
  แสดงการถอดแบบเพื่อขยายการติดตั้งอุปกรณ์ ตำแหน่ง 11


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

การต่อท่อพีวีซีชนิดต่อด้วยแหวนยาง

 การต่อท่อพีวีซีชนิดต่อด้วยแหวนยาง: เคล็ดลับจากช่างประปามือโปรสู่มือคุณ

     สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์และเทคนิคการต่อท่อพีวีซีชนิดต่อด้วยแหวนยางที่ช่างประปามืออาชีพใช้กัน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ก็มีความซับซ้อนที่ต้องอาศัยความชำนาญอยู่ไม่น้อย หากทำไม่ถูกต้องอาจเกิดปัญหาน้ำรั่วซึมตามมาได้

ทำไมต้องต่อท่อพีวีซีด้วยแหวนยาง?

      การต่อท่อพีวีซีด้วยแหวนยางเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษมากมาย แต่ข้อเสียคือหากทำไม่ถูกวิธี แหวนยางอาจปลิ้นและทำให้น้ำรั่วได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาน้ำรั่วที่เกิดจากแหวนยางปลิ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ดังนั้นการใส่ใจในรายละเอียดและทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ขั้นตอนการต่อท่อพีวีซีชนิดต่อด้วยแหวนยาง

  1. ทำความสะอาด:เช็ดทำความสะอาดปลายท่อที่จะต่อเข้ากับข้อต่อและแหวนยางให้สะอาดหมดจด โดยเฉพาะร่องของแหวนยาง เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าไปติดขัด
  2. สอดแหวนยาง:จับแหวนยางให้เป็นรูปหัวใจแล้วสอดเข้าไปในข้อต่อให้ถูกทิศทาง โดยให้ปลายคีบของแหวนยางลู่เข้าไปในท่อ จัดแหวนยางให้นั่งในร่องให้แนบสนิท
  3. ทำเครื่องหมาย:ทำเครื่องหมายแสดงความลึกของการสอดท่อ โดยทั่วไปโรงงานผลิตท่อจะมีเครื่องหมายมาให้แล้ว แต่หากเป็นท่อที่ตัดเองต้องทำเครื่องหมายใหม่
  4. ลบมุมคม:กรณีตัดท่อเอง ให้ลบมุมคมของท่อประมาณ 15 องศา เพื่อป้องกันการปลิ้นของแหวนยาง
  5. ทาน้ำยาหล่อลื่น:ทาน้ำยาหล่อลื่นแหวนยางบริเวณส่วนที่ลบมุมคมของท่อและตัวของแหวนยางที่นั่งในร่องให้ทั่ว
  6. สวมปลายท่อ: สวมปลายท่อที่ทาน้ำยาหล่อลื่นแล้วเข้าไปในข้อต่อ
  7. ดันปลายท่อ: ใช้แรงงานหรือคานงัดดันปลายท่อเข้าไปในข้อต่อให้ถึงเครื่องหมายที่ทำไว้ (ไม่ควรใช้เครื่องจักรดัน เพราะอาจทำให้ปลายท่อแตกได้)
  8. ทำซ้ำ: ทำตามขั้นตอนที่ 1 ถึง 7 ไปเรื่อย ๆ จนเสร็จ

เคล็ดลับเพิ่มเติม

  • เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ: แหวนยางและข้อต่อควรมีคุณภาพดี เพื่อความทนทานและป้องกันการรั่วซึม
  • ตรวจสอบขนาด: ตรวจสอบขนาดของท่อและข้อต่อให้ถูกต้องก่อนเริ่มงาน
  • ใช้แรงพอเหมาะ: ไม่ควรออกแรงมากเกินไปในการดันท่อ เพราะอาจทำให้ท่อแตกได้
  • ทดสอบรอยรั่ว: หลังจากต่อเสร็จแล้ว ควรทดสอบรอยรั่วโดยการเปิดน้ำและตรวจสอบอย่างละเอียด

       การต่อท่อพีวีซีชนิดต่อด้วยแหวนยางอาจดูเหมือนง่าย แต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจ หากทำตามขั้นตอนและเคล็ดลับที่ผมแนะนำ รับรองว่าคุณจะสามารถต่อท่อได้อย่างมืออาชีพและไม่มีปัญหาน้ำรั่วซึมตามมาแน่นอนครับ

 

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2567

Repair Clamp อุปกรณ์ซ่อมท่อ HDPE

Repair Clamp (รีแพร์แคลมป์) คืออะไร?

Repair Clamp หรือที่เรียกกันติดปากว่า "รีแพร์แคลมป์" คือ อุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ช่วยชีวิตยามท่อ HDPE ของคุณเกิดปัญหาแตก รั่ว หรือชำรุด โดยไม่ต้องเปลี่ยนท่อใหม่ทั้งหมด ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

 

 clip_image006

 clip_image004

 ทำไมต้องใช้ Repair Clamp?

  • ใช้งานง่าย: ไม่ต้องมีความรู้ช่างมากมายก็ติดตั้งได้ เพียงขันน็อตให้แน่น ก็สามารถหยุดการรั่วไหลได้ทันที
  • รวดเร็ว: ไม่ต้องรอทีมช่างมาซ่อม สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วยตัวเอง
  • ประหยัด: ไม่ต้องเปลี่ยนท่อทั้งเส้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก
  • หลากหลาย: มีให้เลือกหลายขนาด เพื่อให้เหมาะกับท่อ HDPE ขนาดต่างๆ

ประเภทของ Repair Clamp

Repair Clamp มี 2 ประเภทหลักๆ คือ:

  1. แบบโลหะ: ทำจากสแตนเลส ทนทานต่อการกัดกร่อนและแรงดันสูง เหมาะสำหรับงานหนักและใช้งานในระยะยาว
  2. แบบพลาสติก: ทำจาก Polypropylene (PP) น้ำหนักเบา ราคาถูก ติดตั้งง่าย แต่ความทนทานอาจไม่เท่าแบบโลหะ

การเลือก Repair Clamp ที่เหมาะสม

ก่อนตัดสินใจซื้อ Repair Clamp ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

  • ขนาดท่อ HDPE: เลือก Repair Clamp ที่มีขนาดพอดีกับท่อ เพื่อให้สามารถยึดและปิดรอยรั่วได้สนิท
  • วัสดุ: เลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งาน หากต้องการความทนทานสูง แนะนำแบบโลหะ แต่ถ้าเน้นราคาประหยัดและติดตั้งง่าย แบบพลาสติกก็เป็นตัวเลือกที่ดี
  • แรงดัน: ตรวจสอบแรงดันใช้งานของท่อ และเลือก Repair Clamp ที่สามารถทนแรงดันได้สูงกว่า เพื่อป้องกันการรั่วซ้ำ
  • คุณภาพ: เลือก Repair Clamp จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย

วิธีการติดตั้ง Repair Clamp

การติดตั้ง Repair Clamp ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้:

  1. ปิดวาล์วน้ำ: ปิดวาล์วน้ำที่เชื่อมต่อกับท่อ HDPE เพื่อหยุดการไหลของน้ำ
  2. ทำความสะอาดท่อ: เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่ท่อแตกหรือรั่ว ให้แห้งสนิท
  3. สวม Repair Clamp: นำ Repair Clamp สวมเข้ากับท่อ โดยให้ตำแหน่งที่รั่วอยู่ตรงกลางของ Repair Clamp
  4. ขันน็อต: ขันน็อตให้แน่น จน Repair Clamp ยึดกับท่อได้สนิท และไม่มีน้ำรั่วซึมออกมา

ข้อควรระวังในการใช้งาน Repair Clamp

  • ไม่ควรใช้ Repair Clamp กับท่อที่แตกหักเสียหายอย่างรุนแรง: ควรเปลี่ยนท่อใหม่แทน
  • ตรวจสอบ Repair Clamp สม่ำเสมอ: เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงยึดแน่นกับท่อ และไม่มีการรั่วซึม
  • เก็บ Repair Clamp ในที่แห้งและเย็น: เพื่อยืดอายุการใช้งาน

การใช้งาน Repair Clamp

          จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเคยใช้ Repair Clamp ทั้งแบบโลหะและแบบพลาสติก เพื่อซ่อมท่อ HDPE ที่แตกและรั่วในบ้าน ซึ่งพบว่า Repair Clamp ใช้งานง่ายและติดตั้งได้รวดเร็ว สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันที โดยไม่ต้องรอช่าง แถมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากอีกด้วย

ข้อดีของ Repair Clamp

  • ใช้งานง่าย ติดตั้งสะดวก
  • แก้ปัญหาท่อแตก รั่ว ได้รวดเร็ว
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเปลี่ยนท่อใหม่
  • มีให้เลือกหลายขนาดและวัสดุ

ข้อเสียของ Repair Clamp

  • ไม่เหมาะสำหรับท่อที่เสียหายรุนแรง
  • ต้องตรวจสอบและบำรุงรักษาสม่ำเสมอ
  • อายุการใช้งานอาจไม่ยาวนานเท่าการเปลี่ยนท่อใหม่

          Repair Clamp เป็นอุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ เพราะสามารถช่วยชีวิตยามท่อ HDPE เกิดปัญหาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แถมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากอีกด้วย แต่ควรเลือก Repair Clamp ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด






วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2567

เจาะลึกวิธีการต่อท่อ HDPE แบบมือโปร ไม่พลาดทุกขั้นตอน

เจาะลึกวิธีการต่อท่อ HDPE แบบมือโปร ไม่พลาดทุกขั้นตอน

          สวัสดีครับเพื่อนช่างและผู้ที่สนใจงานท่อทุกท่าน! วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์ตรงจากการทำงานในสนามจริงเกี่ยวกับการ ต่อท่อ HDPE ให้ได้ผลลัพธ์ที่แข็งแรง ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่างมืออาชีพทุกคนควรมีติดตัวไว้

ทำไมต้องท่อ HDPE?

         ก่อนที่จะลงลึกไปในวิธีการ ผมขออธิบายสั้น ๆ ว่าทำไมท่อ HDPE ถึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ท่อ HDPE หรือ High-Density Polyethylene เป็นท่อพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงดันและสารเคมีได้ดี มีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก และที่สำคัญคือไม่เป็นสนิม จึงเหมาะสำหรับงานระบบประปา ท่อน้ำทิ้ง ระบบชลประทาน และงานวางท่อใต้ดินอื่น ๆ

เตรียมตัวก่อนลุยงาน

          การเตรียมตัวที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของงานที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ก่อนลงมือต่อท่อ HDPE เราต้องมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นครบครัน ได้แก่:

  • เครื่องเชื่อมท่อ HDPE: หัวใจสำคัญของงานนี้ เลือกเครื่องที่เหมาะสมกับขนาดและชนิดของท่อ
  • อุปกรณ์ตัดท่อ: เลื่อยหรือกรรไกรตัดท่อ HDPE ที่คมและมีประสิทธิภาพ
  • อุปกรณ์ทำความสะอาด: ผ้าสะอาด แอลกอฮอล์ หรือน้ำยาทำความสะอาดท่อ HDPE โดยเฉพาะ
  • อุปกรณ์วัดและทำเครื่องหมาย: ตลับเมตร ดินสอ หรือปากกาเคมี
  • อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล: ถุงมือ แว่นตานิรภัย หน้ากากกันฝุ่น

วิธีการต่อท่อ HDPE: 3 เทคนิคยอดฮิต

การต่อท่อ HDPE สามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่นิยมใช้กันมากในวงการมี 3 วิธีหลัก ๆ ดังนี้:

  1. การเชื่อมต่อแบบ Butt Fusion: วิธีนี้เหมาะสำหรับท่อขนาดใหญ่ เชื่อมต่อได้แข็งแรงมาก แต่ต้องใช้เครื่องเชื่อมที่มีราคาสูงและผู้เชี่ยวชาญในการใช้งาน

  2. การเชื่อมต่อแบบ Electrofusion: วิธีนี้ใช้ความร้อนจากขดลวดไฟฟ้าภายในข้อต่อในการเชื่อม ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับท่อขนาดเล็กถึงกลาง

  3. การเชื่อมต่อแบบ Mechanical Compression: วิธีนี้ใช้ข้อต่อและแหวนยางในการเชื่อม ไม่ต้องใช้ความร้อน ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และราคาประหยัด แต่ความแข็งแรงอาจไม่เท่าสองวิธีแรก

เจาะลึกวิธีการเชื่อมต่อแบบ Butt Fusion:

        เนื่องจากเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมาก ผมจะอธิบายวิธีการเชื่อมต่อแบบ Butt Fusion อย่างละเอียดให้ทุกท่านได้เข้าใจกัน

ขั้นตอนที่ 1: เตรียมท่อ

  • ตัดท่อ HDPE ให้ได้ขนาดตามต้องการ โดยใช้เลื่อยหรือกรรไกรตัดท่อ HDPE ตัดให้ปลายท่อตั้งฉากและเรียบเสมอกัน
  • ทำความสะอาดปลายท่อทั้งสองด้านด้วยผ้าสะอาดและแอลกอฮอล์ หรือน้ำยาทำความสะอาดท่อ HDPE เพื่อขจัดคราบไขมัน สิ่งสกปรก และความชื้น

ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าเครื่องเชื่อม

  • ติดตั้งปลายท่อทั้งสองข้างเข้ากับเครื่องเชื่อมท่อ HDPE ให้แน่น
  • ปรับตั้งค่าอุณหภูมิและแรงดันของเครื่องเชื่อมตามขนาดและชนิดของท่อ HDPE ที่ใช้

ขั้นตอนที่ 3: เริ่มการเชื่อม

  • กดปุ่มเริ่มการทำงานของเครื่องเชื่อม เครื่องจะทำการให้ความร้อนกับปลายท่อทั้งสองข้างจนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม
  • เมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด เครื่องจะทำการดันปลายท่อทั้งสองข้างเข้าหากันด้วยแรงดันที่เหมาะสม ปลายท่อจะหลอมละลายและเชื่อมติดกัน

ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบคุณภาพ

  • หลังจากการเชื่อมเสร็จสิ้นให้นำท่อออกจากเครื่องเชื่อมและปล่อยให้เย็นลงตามธรรมชาติ
  • ตรวจสอบรอยเชื่อมให้เรียบร้อย แข็งแรง และไม่มีรอยรั่ว

          จากประสบการณ์ของผม มีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้การต่อท่อ HDPE ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:

  • เลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ: เครื่องมือที่ดีจะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ตรวจสอบสภาพท่อก่อนการเชื่อม: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่อ HDPE ที่ใช้ไม่มีรอยแตก รอยร้าว หรือความเสียหายอื่น ๆ
  • ทำความสะอาดปลายท่อให้สะอาด: ปลายท่อที่สะอาดจะช่วยให้การเชื่อมติดกันได้ดีขึ้น
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเครื่องเชื่อม: แต่ละเครื่องเชื่อมอาจมีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันเล็กน้อย ควรอ่านคู่มือการใช้งานให้ละเอียดก่อนเริ่มงาน

คำเตือน: การทำงานกับเครื่องเชื่อมท่อ HDPE อาจเป็นอันตรายได้ ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

          การต่อท่อ HDPE ไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีความรู้ ความเข้าใจ และเตรียมตัวมาอย่างดี ผมหวังว่าบล็อกโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านในการทำงานนะครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถคอมเมนต์ถามได้เลยครับ!

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2567

อุปกรณ์ในการต่อท่อพีอี(HDPE)แบบหน้าจาน

อุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับท่อ HDPE แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ชุดข้าง ใช้สำหรับประสานท่อพีอีกับอุปกรณ์ท่อ เช่น สามทางหน้าจาน ท่อลด ประตูน้ำ ฯลฯ ประกอบด้วย
1. หน้าแปลนพีอี (Stub End) 1 ตัว
2. แหวนเหล็กเหนียว (Backing Ring) 1 ตัว
3. สกรู 1 ชุด
4. ประเก็นยาง 1 แผ่น

2. ครบชุด ใช้สำหรับประสานท่อพีอีกับท่อพีอี เช่น ท่อชั้นคุณภาพไม่เท่ากัน ต่างโรงงาน ซ่อมท่อ ฯลฯ ประกอบด้วย
1. หน้าแปลนพีอี (Stub End) 2 ตัว
2. แหวนเหล็กเหนียว (Backing Ring ) 2 ตัว
3. สกรู 1 ชุด
4. ประเก็นยาง 1 แผ่น

อุปกรณ์ที่ใช้มีดังต่อไปนี้
1. Stub End ทำมาจากท่อหนาแล้วไปกลึงขึ้นรูป หรือหล่อให้ได้มิติตามมาตรฐาน ก่อนสั่งซื้อต้องระบุให้ชัดว่าเป็นชั้นความดัน(PN)อะไร,ชั้นคุณภาพเท่าใด PE 80 หรือ PE 100 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพท่อ HDPE ที่ใช้
clip_image004
2. Backing Ring ตามมาตรฐานของกปภ. ระบุว่าต้องทำมาจาก Ductile Iron แต่โดยทั่วไปโรงงานผลิตท่อ HDPE มักจะใช้เป็นเหล็กเหนียว ดังนั้น ก่อนสั่งซื้อต้องระบุให้ชัดว่าเป็นเหล็กหล่อหรือเหล็กเหนียว
clip_image006
3.สลักเกลียวและแป้นเกลียว ตามมาตรฐานของกปภ. ระบุว่าต้องทำมาจาก Ductile Iron ขนาดและความยาวของสลักเกลียวขึ้นอยู่กับขนาดของท่อและชั้นคุณภาพท่อด้วย อีกทั้งต้องระบุให้ชัดว่าใช้แบบชุดข้างหรือแบบครบชุด ปัญหาที่เจอบ่อยคือ ความยาวของสลักเกลียวไม่เพียงพอ คือใช้กับชุดข้างได้แต่ใช้กับแบบครบชุดไม่ได้
clip_image008
4. ประเก็นยาง ประเก็นยางของท่อพีอีจะใช้แบบ”หูยก”ไม่ต้องมีรูเหมือนกับประเก็นยางหน้าจานแบบงานท่อพีวีซี หรือท่อเหล็กเหนียว
clip_image010










วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2567

ทำไมต้องใช้ Ductile Cast Iron ในงานวางท่อ HDPE

        เหล็กหล่อ เป็นโลหะผสมระหว่างเหล็กกับคาร์บอน ซึ่งมีคาร์บอนผสมอยู่มากกว่า 2% (ที่ใช้งานจริงมักอยู่ในช่วง 2.5-4.0%) ธาตุผสมที่สำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือ ซิลิคอน นอกจากนี้ก็ยังมี แมงกานีส กำมะถันและฟอสฟอรัส
เราอาจจะจำแนกเหล็กหล่อตามลักษณะของคาร์บอนในเหล็กหล่อนั้น ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้คือ
1) เหล็กหล่อเทา (Gray Cast Iron)
2) เหล็กหล่อขาว (White Cast Iron)
3) เหล็กหล่อเหนียว (Ductile Cast Iron) หรือเหล็กหล่อกราไฟท์กลม (Spheroidal Graphite Cast Iron)

1. เหล็กหล่อเทา (Gray Cast Iron)
คาร์บอนส่วนใหญ่ในเหล็กหล่อนี้ จะอยู่ในรูปของเกล็ดกราไฟท์ และส่วนที่เหลือจะอยู่ในโครงสร้างเพิร์ลไลท์ เหล็กหล่อเทาจึงนิ่ม ไม่เปราะนัก กลึงไสง่าย และทนการสึกหรอเนื่องจากการเสียดสีได้ดี มันจะไม่ทนต่อแรงดึง แต่ทนต่อแรงอัด การไหลลงในแบบหล่อที่บางได้ง่าย และการหดตัวเพียงเล็กน้อยตอนแข็งตัวของเหล็กหล่อเทานี้ ทำให้ได้ชิ้นงานหล่อออกมาส่วนงามมีความคมตามแง่มุมชัดเจน ฉะนั้นประมาณ 80% ของงานหล่อทั้งหมด จึงอยู่ในรูปของเหล็กหล่อเทา เช่นเครื่องยนต์ ที่ยึดรางรถไฟและฐานเครื่องจักรกลต่าง ๆ เป็นต้น
2. เหล็กหล่อขาว (White Cast Iron)
คาร์บอนทั้งหมดในเหล็กหล่อนี้จะอยู่ในรูปของซีเมนไตท์ เหล็กหล่อขาวจึงมีคุณสมบัติแข็งทนทานต่อการเสียดสี แต่เปราะ ไม่เหมาะกับการตัดหรือการกลึงไส
3. เหล็กหล่อเหนียว (Ductile Cast Iron) หรือเหล็กหล่อกราไฟท์กลม (Spheroidal Graphite Cast Iron)
โครงสร้างของเหล็กหล่อนี้คล้ายกับเหล็กหล่อเทา Ductile Cast Iron มีคุณสมบัติคล้ายกับเหล็กกล้ามาก คือ มีความแข็งแรงสูง มีความสามารถในการยืดตัวออกและสามารถขึ้นรูปได้ ใช้ทำชิ้นงานวิศวกรรม เช่น backing ring , สกรู-น๊อต ในงานวางท่อ HDPE เนื่องจากมีอายุการใช้งานได้นานกว่าการใช้เหล็กเหนียว